เหวี่ยงวีน “ไม่ใช่” ไบโพลาร์
ไบโพลาร์ เป็นอาการทางการแพทย์ไม่ใช่ความผิด ไม่ใช่นิสัย ไม่ใช่ตัวตนของผู้ป่วย สามารถควบคุมได้ด้วยการรักษาทางการแพทย์ การยอมรับจากครอบครัว เพื่อน และตัวของผู้ป่วยเอง
รู้หรือไม่ ไบโพลาร์ ไม่ได้มีประเภทเดียว
1 Bipolar I
ไบโพลาร์ประเภทที่ 1 สามารถสังเกตได้จากผู้ที่มีอาการเมเนีย สลับกับช่วงที่มีอาการซึมเศร้าหรือบางรายอาจมีอาการเมเนียเพียงอย่างเดียวก็ได้
อาการเมเนีย (Mania) คือ ภาวะอารมณ์ผิดปกติ ซึ่งเป็นความผิดปกติทางด้านอารมณ์ที่ผู้ป่วยมักรู้สึกมีความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา มีพลังงานในการทำกิจกรรมต่างๆ สูงมาก อารมณ์ขึ้นสุดเกือบตลอดทั้งวัน เป็นติดต่อกันอย่างน้อยตลอด 1 สัปดาห์
อาการที่อาจเกิดขึ้น
- มั่นใจเกินจริง คิดว่าตัวเองทำได้ทุกสิ่งไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้
- พูดมากผิดปกติ พูดไม่หยุด
- หยุดนิ่งไม่ได้ทำกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม การงาน การเรียน หรือด้านเพศ
- ไม่ต้องการพักผ่อน ความต้องการนอนน้อยลง
- ความคิดแล่น คิดหลายๆ เรื่องพร้อมกัน
- สมาธิหลุดง่าย ว่อกแว่กง่าย
- มีพฤติกรรมเสี่ยงมากขึ้น เช่น ช็อปปิ้งจนติดหนี้สิน ลงทุนธุรกิจแบบไม่คิด มีเพศสัมพันธ์แบบเสี่ยงๆ
วิธีการสังเกตอาการ
ต้องมีอาการอย่างน้อย 3 อย่างติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ มีความผิดปกติทางด้านอารมณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง จนทำให้มีความบกพร่องในด้านการเข้าสังคม การเรียน การทำงานแย่ลง แบบนี้แสดงว่าเป็นช่วงเมเนีย หรือ ไบโพลาร์ไทป์วัน
2 Bipolar II
ไบโพลาร์ประเภทที่ 2 สามารถสังเกตได้จากผู้ป่วยที่มีอาการซึมเศร้าสลับกับช่วงอาการไฮโปเมเนีย
อาการไฮโปเมเนีย (Hypomania) คล้ายกับอาการเมเนีย แต่จะมีอารมณ์ขึ้นแค่ปานกลาง รุนแรงน้อยกว่า กินระยะเวลาสั้นกว่า จากหนึ่งสัปดาห์อาจเหลือ 3-4 วัน
อาการอารมณ์ขึ้นนั้น อาจกลับมาเป็นปกติได้เป็นเวลานานเป็นเดือนๆ แล้วสลับกับอารมรณ์เศร้าต่อเนื่องเป็นเวลานาน จากนั้นอาการไฮโปเมเนียก็จะกลับมาใหม่
อาการช่วงอารมณ์ดิ่ง
ความสนใจในความชอบเดิมน้อยลง อาการอยากอาหารเปลี่ยนแปลงไป รู้สึกไร้ค่า รู้สึกผิด นอนมากขึ้นหรือนอนน้อยลง พักผ่อนไม่เพียงพอรู้สึกตื้อๆ ช้าๆ ความคิดเวียนวนกับการฆ่าตัวตาย
คนส่วนใหญ่คิดว่า ไบโพลาร์ ไทป์วันต้องมีครบ 2 ขั้วตามชื่อ แต่จริงๆแล้วการมีแค่ช่วงเมเนียเดียวก็วินิจฉัยได้แล้ว แต่ส่วนมากเมื่อหายจากเมเนีย ก็อาจสลับเป็นระยะซึมเศร้าต่อหรืออาจจะลดระดับลงมาเป็นระยะไฮโปเมเนียได้
ไบโพลาร์ สามารถรักษาหายได้ด้วยยาหรือการรักษาด้วยการบำบัด ขอเพียงครอบครัว เพื่อนและตัวผู้ป่วยเปิดใจและยอมรับ
การรักษาผู้ป่วยที่เป็นไบโพลาร์
การรักษาด้วยยา
การรักษาในปัจจุบันนั้นสามารถเลือกวิธีที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคนได้ โดยผู้ป่วยสามารถปรึกษาแพทย์และปรับยาตามความเหมาะสม
นอกจากการรักษาด้วยยาแล้วการรักษาโดยใช้ไฟฟ้าที่อยู่ในการดูแลควบคุมของแพทย์ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก
การรักษาด้วยการบำบัด
ฝึกออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติดหรือแอลกอฮอล์ การทำจิตบำบัดเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเอง การทำกิจกรรมบำบัดอื่นๆ ทีมีประโยชน์ เช่น ดนตรีบำบัด ศิลปะบำบัด และการฝึกโยคะ
อย่าเอาคำว่าไบโพลาร์มาด่า แซวกันเพราะจะทำให้คนที่ป่วยหรือสงสัยว่าป่วยไม่กล้าไปรักษาเพราะกลัวถูกตีตราว่านิสัยไม่ดีกลายเป็นว่าเราทำร้ายผู้ป่วยทางอ้อม
บทความเพิมเติม
- Body Shaming รับมืออย่างไรดี เมื่อถูกวิจารณ์รูปร่าง
- Burnout รู้จักกับภาวะ หมดไฟในการทำงาน
- 14 สัญญานเตือน ความสัมพันธ์ ที่แย่ Toxic Relationship
ที่มา : กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข